Exclusing Offer For Thai Residents
Sep 09 2019

ดีท็อกซ์ 90 วันกับแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา


Apple Cider Vinegar, Cleanser, แอปเปิ้ลไซเดอร์

ดีท็อกซ์ 90 วันกับแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา

ในปัจจุบันแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาเป็นที่นิยมนำมาใช้เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพมากที่สุด โดยเฉพาะคุณสมบัติอันโดดเด่นที่ช่วยในเรื่องของระบบภายในร่างกายและสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งที่ทุกคนพูดถึง ในหลายสิบปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยออกมาเผยแพร่และตีพิมพ์คุณสมบัติอันดีเลิศของแอปเปิ้ลไซเดอร์ เวนิกาเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก ลดคลอเรสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือด ลดอาการท้องผูกและช่วยในการดีท็อกซ์ วันนี้ MikaNutra จะมาขยายข้อข้องใจและการเกี่ยวโยงของแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาและการดีท็อกซ์ไปพร้อมๆ กัน รวมถึงการดีท็อกซ์ภายใน 3 เดือนที่จะเปลี่ยนสุขภาพของคุณไปตลอดกาล

ดีท็อกซ์เพื่อลดน้ำหนัก

การลดน้ำหนักด้วยแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาได้มีการทดลองแบบจริงจังในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2009 โดยผู้ร่วมการทดลอง 155 คนได้ถูกแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่มและมีการรับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาโดยผสมไปในเครื่องดื่มโดยมีปริมาณที่ต่างกัน กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีอะไรผสมลงไปในเครื่องดื่ม กลุ่มที่ 2 ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา 1 ช้อนโต๊ะ และกลุ่มที่ 3 ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา 2 ช้อนโต๊ะ
หลังจากเวลาผ่านไป 12 สัปดาห์ผลปรากฎว่า กลุ่มที่ 1 นั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับน้ำหนักตัวเลย โดยกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 มีน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 1-2 กิโลกรัมโดยที่การรับประทานอาหารยังเหมือนเดิม ไม่มีการอดอาหารหรือไดเอท ในการวิจัยครั้งนี้พบว่า กรดอะซิติก (Acetic Acid) ที่มีอยู่ในแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาช่วยในการยับยั้งการก่อตัวของไขมันใหม่ในร่างกาย

การผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาลงในเครื่องดื่มหรือน้ำเปล่าโดยดื่มตอนที่ท้องยังว่างนั้นถือเป็นการดีท็อกซ์อย่างหนึ่ง มีงานวิจัยบอกว่า ความเปรี้ยวของแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาจะช่วยทำให้ความสมดุลของความเป็นกรดด่างในลำไส้เล็กเปลี่ยนไปในขณะที่กำลังย่อยอาหารหรือพูดง่ายๆ ว่า ลำไส้มีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้นจึงทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วเนื่องจากทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงเมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำเปล่า จึงทำให้รู้สึกอิ่มง่ายและนั่นจึงทำให้น้ำหนักลดลง คำให้สัมภาษณ์จาก Rahaf Al Bochi, R.D.N., L.D.N., เจ้าของ Olive Tree Nutrition และโฆษกจาก the Academy of Nutrition and Dietetics

Fact: กรดอะซิติกคืออะไร?

กรดอะซิติก หรือ กรดน้ำส้ม คือ กรดอินทรีย์หรือสารประกอบเคมีอินทรีย์ที่พบได้ในธรรมชาติมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน มีลักษณใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนที่เป็นเอกลักษณ์ มีรสเปรี้ยว ระเหยง่าย ละลายได้ในน้ำ แอลกอฮอล์ กลีเซอรีน มีความเสถียร มีสูตรทางเคมี CH3COOH มีคุณสมบัติทางเคมีดังนี้ น้ำหนัก โมเลกุลเท่ากับ 60.05 กรัมต่อโมล ความหนาแน่น 1.05 กรัมต่อลูกบาศก์เซ็นติเมตร จุดเดือด 118.1 องศาเซลเซียล และจุดแข็งตัว 16.67 องศาเซลเซียส เมื่อแข็งตัวมีลักษณะเป็นผลึกใส ผลึกของกรดอะซิติกนั้นจะมีความบริสุทธิ์สูงมากเรียกว่า หัวน้ำส้มหรือกรดกลาเซียลอะซิติก (Glacial Acetic Acid) ที่ได้จากการสกัดทางเคมี หัวกรดน้ำส้มนั้นสามารถนำไปเจือจางเพื่อทำน้ำส้มสายชูเทียม

กรดอะซิติกรู้จักกันดีในการนำมาผลิตน้ำส้มสายชูที่ใช้ในการปรุงอาหารให้มีรสเปรี้ยวและช่วยในการถนอมอาหารและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถ้าใช้ในปริมาณที่ทางกระทรวงสาธารณสุขควบคุมไว้ และมีราคาถูกเมื่อเทียบกับสารให้ความเปรี้ยวจากธรรมชาติอย่างอื่น เช่น มะนาว มะขาม เป็นต้น

ดีท็อกซ์เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การเกิดอาการอักเสบเรื้อรังก็เกิดจากการที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่และนั่นเป็นที่มาของโรคเรื้อรังต่างๆ ในร่างกายอาทิเช่น โรคหัวใจและมะเร็ง ในปัจจุบันดูเหมือนว่าการดีท็อกซ์ล้างพิษด้วยแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาเหมือนจะเป็นการให้ความหวังกับผู้คนที่กำลังพยายามที่จะควบคุมน้ำตาลในเลือดรวมถึงลดอาการอักเสบเรื้อรังของร่างกาย

จากการทดลองของผู้ที่รับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาปริมาณ 1 1/2 ช้อนโต๊ะร่วมกับอาหารแต่ละมื้อเป็นเวลา 3 เดือนนั้นช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากรับประทานอาหารเสร็จเมื่อเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ไม่ได้ทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิการ่วมกับมื้ออาหาร รายงานจากปี 2017 เกี่ยวกับการวิเคราะห์เรื่อง Diabetes Research and Clinical Practice

แล้วมันทำงานอย่างไรทำไมถึงช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้? จากการทดลองในสัตว์ทดลองพบว่ากรดอะซิติกอาจทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้นและขจัดออกจากระบบเลือดและอาจจะมีการหยุดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตโดยการลดการย่อยคาร์บในระบบย่อยอาหาร อย่างไรก็ตามการทดลองในมนุษย์นั้นยังมีไม่มากนัก แต่ก็มีบางงานวิจัยที่พบว่าการรับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาสามารถช่วยเรื่องระดับอินซูลินในร่างกายรวมถึงลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้

บางงานวิจัยเกี่ยวกับอบเชยหรือที่คุ้นหูกันในชื่อสากล Cinnamon ก็มีเทรนด์ดีท็อกซ์ด้วย Cinnamon อยู่ไม่น้อยเพราะ Cinnamon มีคุณสมบัติเกี่ยวกับการลดระดับน้ำตาลในเลือด จากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภท Cinnamon ในระดับ 120 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน พบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงจากรายงาน Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics ผู้วิจัยได้ทิ้งท้ายเกี่ยวกับการดีท็อกซ์ด้วย Cinnamon ว่า การทาน Cinnamon โดยเป็นส่วนประกอบในอาหารและขนมนั้นไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย แต่การทาน Cinnamon เพื่อดีท็อกซ์แทนการทานยาหรือการทานอาหารในครบหมู่ในปริมาณที่เหมาะสมทุกมื้ออาจเป็นทางเลือกที่ไม่เหมาะสม การดีท็อกซ์ควรอยู่ในความสมดุลเพื่อให้ร่างกายทำงานอย่างปกติ

Fact: การอักเสบคืออะไร?

การอักเสบ (Inflammation) เป็นกระบวนการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งที่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ เช่น เชื้อโรค การตายของเซลล์จากการขาดเลือดหรือขาดออกซิเจน โดยการตอบสนองโดยกระบวนการอักเสบประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด การเข้ามาของเซลล์เม็ดเลือดขาว และผลกระทบที่เกิดกับร่างกายทั้งระบบ

กระบวนการอักเสบจัดเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันสิ่งแปลกปลอม หรือสิ่งที่จะทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายได้รับบาดเจ็บ ผลของการอักเสบจะทำให้เกิดการกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคออกไปนอกจากนี้ยังกำจัดเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือตายจากการเข้ามาของสิ่งแปลกปลอมดังกล่าว

หากไม่มีกระบวนการอักเสบเกิดขึ้น ร่างกายจะไม่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไปได้ เนื้อเยื่อจะเกิดการบาดเจ็บโดยที่ไม่มีการซ่อมแซม ทำให้การทำงานของเนื้อเยื่อนั้นๆ ผิดปกติไป อย่างไรก็ตามกระบวนอักเสบมีผลเสียเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน หากเกิดการอักเสบมากเกินไป หรือเกิดการอักเสบแบบเรื้อรังเป็นเวลานาน จะเกิดการทำลายเนื้อเยื่อทำให้เกิดการทำงานของเนื้อเยื่อนั้นผิดปกติได้เช่นกัน

กระบวนการอักเสบสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ การอักเสบเฉียบพลัน (Acute inflammation) และการอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation)

  • การอักเสบแบบเฉียบพลัน จะเกิดขึ้นรวดเร็วภายในระยะเวลาเป็นวินาทีหรือเป็นนาที หลังจากได้รับสิ่งกระตุ้นและคงอยู่ประมาณ 2 ถึง 3 วัน แต่มักไม่เกิน 1 สัปดาห์ ลักษณะสำคัญ คือ การบวมของเนื้อเยื่อ 
  • ส่วนการอักเสบแบบเรื้อรัง นั้นจะเกิดนานกว่า อาจเกิดตามหลังการอักเสบแบบเฉียบพลัน หรือเกิดจากร่างร่างกายกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมบางชนิดก็ได้ ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ ด้าน ลักษณะสำคัญของการอักเสบเรื้อรัง คือ มีการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดขึ้น  มีการสร้างหลอดเลือดขึ้นจำนวนมาก

การเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและเซลล์ที่พบในการอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง เกิดจากการกระตุ้นจากสารเคมี ซึ่งสารเคมีนั้นอาจพบในกระแสเลือดอยู่แล้วหรือจากเซลล์ต่าง ๆ หลั่งออกมา หลังจากเกิดลักษณะทางคลินิกของการอักเสบ โดยเฉพาะการอักเสบเฉียบพลันจะประกอบอาการหลัก 4 อาการ คือ ปวด บวม แดงและร้อน ส่วนการอักเสบเรื้อรังนั้นเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงต่างๆ

ดีท็อกซ์เพื่อสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น

การควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลสำหรับบางคนถือเป็นงานหนักที่ทำได้ยากเหลือเกิน แต่ถ้าหากสามารถควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลได้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ จากงานวิจัยในสัตว์พบว่า แอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาสามารถช่วยเผาผลาญไขมันได้จากกระบวนการออกซิเดชัน รวมถึงการกำจัดไขมันเลวอย่าง LDL และไตรกลีเซอไรด์ที่สามารถก่อตัวในผนังหลอดเลือดหัวใจได้ การเพิ่มแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกาเข้าไปในมื้ออาหารของสัตว์ทดลองที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันสูงพบว่า ร่างกายของมันผลิตเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยไขมันและหยุดกระบวนการสร้างไตรกลีเซอไรด์ได้

อย่างไรก็ตามการทดลองในมนุษย์ยังมีอยู่ไม่มาก แต่จากงานวิจัยจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ทดลองและเก็บข้อมูลของระดับไขมันในเลือดในระยะเวลา 90 วันที่ในผู้ร่วมการทดลองรับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิการะหว่างมื้ออาหารพบว่า ผู้ที่ทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกานั้นมีระดับไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่ากลุ่มผู้ที่ไม่ได้ทานแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่ลดลงอีกด้วย

Fact: ไตรกลีเซอไรด์คืออะไร?

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) คือ อนุภาคของไขมันที่อยู่ในเลือดหลังจากที่ถูกดูดซึมมาทางลำไส้ใหญ่ เป็นไขมันรูปแบบที่พร้อมนำไปแปรรูปที่ตับเพื่อนำส่งไปยังเซลล์ต่างๆ หรือไปสะสมตามเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเช่น ผิวหนัง และแปลงให้เกิดพลังงานขึ้นมา

หลังจากที่ไตรกลีเซอไรด์ถูกดูดซึมทางลำไส้ใหญ่ ร่างกายจะลำเลียงไปที่ตับเพื่อให้ตับเปลี่ยนให้เป็นไขมัน 3 แบบ คือ Very Low Density Lipoprotiens (VLDL), Low Density Lipoprotiens (LDL) และ High Density Lipoprotiens (HDL) โดยไขมัน 3 แบบนี้จะทำหน้าที่นำไตรกลีเซอไรด์และคอเรสเตอรอลไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะรูปแบบของทั้งสามตัวนี้มีความสามารถในการละลายอยู่ในกระแสเลือดได้ดีกว่าแบบตั้งต้น โดย VLDL จะบรรจุไตรกลีเซอไรด์เป็นหลัก LDL จะบรรจุคลอเรสเตอรอลเป็นหลัก ส่วน HDL จะเป็นตัวที่ช่วยดึงสองตัวแรกที่เป็นอันตรายต่อร่างกายกลับมาทำลายที่ตับ เพราะสองตัวแรกนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำปี คุณหมอถึงบอกว่า HDL เยอะๆ นั้นดีกว่ามี LDL เยอะนั่นเอง

หากมีไตรกลีเซอไรด์ในปริมาณมาก ร่างกายจะสร้างคลอเลสเตอรอลตัวเลวมากขึ้น คือคลอเลสเตอรอลชนิด VLDL และ LDL โดยทั้ง 2 ตัวนี้จะชอบไปเกาะอยู่ที่บริเวณผนังของเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดแข็งตัว มีผลทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ การสะสมของไขมันดังกล่าวจะไปอยู่ในรูปแบบตะกรันตามเส้นเลือดอีกด้วย ทำให้ขนาดของเส้นเลือดตีบลง เมื่อเลือดไปเลี้ยงอวัยวะปลายทางไม่เพียงพออาจทำให้เกิดภาวะขาดเลือดของอวัยวะนั้นๆ โดยส่วนมากมักเกิดกับหัวใจ ทำให้เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน หัวใจขาดเลือด และเข้าสู่ภาวะหัวใจวาย และหากผนังเส้นเลือดเกิดการแตกกลายเป็นก้อนเล็กๆ ไหลตามเส้นเลือด แล้วไปอุดกั้นเส้นเลือดเล็กๆ เช่นเส้นเลือดฝอยในสมอง ก็จะทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดอีกด้วย

    Related Posts

    One thought on “ดีท็อกซ์ 90 วันกับแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา

    Leave a Reply

    Your email address will not be published. Required fields are marked *

    Scroll To Top