
มิติใหม่ “Self-healing” รักษาตัวเองไม่ต้องพึ่งหมอด้วย Superfood
“The body can heal itself if we know how to active it.”
– ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้หากเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร
Dr. Andrew Weil
รักษาตัวเองแบบ Self-healing เอาจริงหรอ? จริงค่ะ คุณหมอชาวอเมริกันชื่อดังอย่าง Dr. Andrew Weil ผู้ที่คิดค้นสูตรน้ำตบชื่อดังของแบรนด์ Origins ไลน์ Mega Mushroom ที่เหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์รู้จักกันดีเพราะมันดีมาก ช่วยฟื้นฟูผิวให้อิ่มฟู ผิวแข็งแรงแบบเต็มพิกัด ทำเอาสาวๆ หลายคนยกให้น้ำตบตัวนี้เป็น MUST HAVE ไอเทมที่สามารถกู้วิกฤติหน้าพังได้ดีมากไปอย่างไม่มีข้อสงสัย
แต่เชื่อว่าสาวๆ หลายคนยังไม่รู้ว่า Dr. Andrew Weil คือใคร? เขาไม่ได้ดังเพราะน้ำตบอย่างเดียวนะ แต่เขาดังมากจากการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกและเรื่องการดูแลตัวเองแบบธรรมชาติที่ทุกคนทำได้ที่บ้าน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงตลอดปีจะได้ไม่ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลหรือกินยาปฎิชีวนะให้ตับ ไต ไส้พุงพังมากกว่าเดิมนะ
Dr. Andrew Weil คือใคร?
Andrew Weil, M.D. หรือเรียกภาษาไทยว่า แอนดรูว์ ไวล์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Harvard และมีประสบการณ์การรักษาแบบแพทย์ทางเลือกเกือบตลอดทั้งชีวิตของคุณหมอ คุณหมอเป็นผู้บุกเบิกวิธีการรักษาตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ โดยหลักการสร้างเสริมภูมิต้านทานที่ดีด้วยอาหารและวิตามินที่ทานเข้าไปทุกวันเพื่อช่วยให้ร่างกายมีต้นทุนที่ดีในการค่อยๆ รักษาตัวเอง สิ่งที่สำคัญในการรักษาตัวเองคือการรักษาสมดุลของร่างกาย จิตและพลังใจ

คุณหมอแอนดรูว์ ไวล์ยังเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ Andrew Weil Center for Integrative Medicine ที่ University of Arizona อีกทั้งยังเป็นแพทย์อาวุโสในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แบบแพทย์ทางเลือก (Integrative Rheumatology) อีกด้วย โดยศูนย์ปฏิบัติการ Andrew Weil Center for Integrative Medicine นับเป็นอีกหนึ่งศูนย์ปฏิบัติการที่ดีที่สุดในโลกในการพัฒนาและการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก
ดูเหมือนว่าการรักษาตัวเองจะใช้หลักการเดียวกับ You are what you eat หรือ กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะการเลือกทานแต่อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ รวมถึงเรียนรู้คุณสมบัติของอาหารแต่ละประเภทเพื่อให้เรารู้ว่าต้องทานอาหารอะไรเพื่อรักษาโรคใดจะเป็นสิ่งสำคัญและประเด็นหลักในการรักษาตัวเองแบบ Self-healing นั่นเอง
วิธีง่ายๆ เพิ่มภูมิต้านทานด้วยตัวคุณเอง
จากวารสาร Self Healing: Creating Natural Health for your Body and Mind ประจำปี 2019 ที่คุณหมอแอนดรูว์ ไวล์ ได้เขียนขึ้น ในบทหนึ่งคุณหมอได้เขียนเกี่ยวกับวิธีที่จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทาง MikaNutra ได้แปลทั้งบทความเอาไว้ดังนี้
ระบบภูมิคุ้มกันคือเครือข่ายระบบป้องกันโดยธรรมชาติของร่างกายที่จะปกป้องระบบภายในร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก ซึ่งก็คือเม็ดเลือดขาว ไขกระดูก ต่อมน้ำเหลือง ต่อมทอนซิล ต่อมอดีนอยด์ ต่อมไทมัส ไส้ติ่งและม้าม อวัยวะพวกนี้จะรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งแปลกปลอมอะไรเป็นอันตรายต่อร่างกาย มันก็จะเข้าไปจัดการทันที วายร้ายเหล่านั้นก็คือ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา สารพิษหรือแม้แต่เซลล์มะเร็ง

เมื่ออวัยวะพวกนี้อ่อนแอและทำงานได้ไม่เต็มที่ สิ่งที่ตามมาก็คือคุณจะป่วยบ่อยและอาจจะมีโรคเพิ่มก็ได้ พฤติกรรมที่จะทำให้อวัยวะที่ดูแลร่างกายของเราอ่อนแอลงก็คือ การนอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกายและไม่ยอมพักผ่อนหย่อนใจให้จิตใจได้พักสามารถทำลายระบบภูมิต้านทานทั้งระบบให้พังลงได้พริบตาแม้ว่าคุณจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากก็ตาม เพราะฉะนั้นพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะรักษาระบบของร่างกายให้ทำงานอย่างปกติและแข็งแรงอยู่เสมอ
การปกป้องระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันไม่ใช่มีประโยชน์เฉพาะช่วงไข้หวัดระบาดหรือช่วงหน้าหนาวเท่านั้นนะ เพราะในทุกวันเราต้องเจอกับมลภาวะและสิ่งแปลกปลอมมากมาย ฉะนั้นระบบภูมิคุ้มกันจำเป็นทุกวันและตลอดทั้งปี การดูแลร่างกายและเพิ่มพลังให้ระบบภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

แม้เราจะอยู่ในช่วงที่มีไวรัสโควิด-19 ระบาด แต่ในวารสารนี้ก็ได้กล่าวไว้ว่า เราควรล้างมือบ่อยๆ เป็นประจำเพราะเราใช้มือหยิบจับสิ่งของตลอดเวลาซึ่งมือถือเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคนานาชนิด การล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดถือว่าเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ร่างกายห่างไกลจากโรคหวัด ไข้หวัดสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงการติดเชื้อต่างๆ อีกด้วย
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและระบบภูมิคุ้มกัน
วิธีการดูแลตัวเองฉบับแพทย์ทางเลือกที่คุณหมอแอนดรูว์ ไวล์เน้นย้ำว่าคุณสามารถทำเองได้ที่บ้านหลักๆ ก็คือ การเลือกทานอาหารที่เหมาะกับคุณและมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ, การทานอาหารเสริม, การออกกำลังกายให้พอเหมาะ, การพักผ่อนให้เพียงพอ, การฝึกสมาธิและฝึกการหายใจ ซึ่งในวารสารได้แบ่งออกเป็นหัวข้อย่อยๆ ดังต่อไปนี้
– ออกกำลังกายเป็นประจำ
การขยับตัว เคลื่อนไหวเป็นประจำคือการทำให้ร่างกายแข็งแรงรวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันของคุณด้วยเพราะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยไม่นานมานี้บอกว่า การออกกำลังกายจะช่วยทำให้ต่อมไทมัสทำงานดีขึ้น ซึ่งต่อมไทมัสเป็นอวัยวะในร่างกายที่ทำหน้าที่เป็นทั้งเนื้อเยื่อน้ำเหลืองและต่อมไร้ท่อ มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับผีเสื้อ มีหน้าที่หลักในการทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด T cell เติบโตอย่างสมบูรณ์และผลิตฮอร์โมนไทโมซินเพื่อกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด T cell

แม้ว่าต่อมไทมัสจะฝ่อลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น แต่จากการวิจัยของ UK (Aging Cell, March 8, 2018) ได้กล่าวว่า กลุ่มนักปั่นจักรยานที่มีอายุเยอะแล้วและออกกำลังเป็นประจำทั้งชีวิตของพวกเขามีต่อมไทมัสที่พัฒนาและสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันได้เหมือนเด็กวัยรุ่น อีกทั้งระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขายังแข็งแรงเหมือนคนที่อายุน้อยกว่าพวกเขาครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ลองเริ่มออกกำลังกายสัก 30-45 นาทีแบบไม่ต้องหนักมากเช่น การเดินเร็วเกือบทุกวันก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังเวลาที่ป่วย ควรจะหยุดพักให้ร่างกายหายดีก่อนแล้วค่อยกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง
– พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมตัวเองและทำงานไม่หนักจนเกินไป รวมถึงคุณภาพการนอนของคุณก็ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระดับพลังงานในร่างกายและอารมณ์ของคุณอีกด้วย ฉะนั้นคุณจำเป็นต้องนอนให้เพียงพอซึ่งอยู่ระหว่าง 7-9 ชั่วโมงต่อวันซึ่งจะส่งผลต่ออาการง่วงหงาวหาวนอนระหว่างวันของคุณให้ดีขึ้นด้วย

– จัดการความเครียด
ฮอร์โมนความเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างเช่น คอร์ติซอล (Cortisol) สามารถทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงรวมถึงทำให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ช้าลง การจัดการความเครียดเช่น การเขียนบันทึกเพื่อปลดปล่อยความคิดในสมอง การไม่รับฟังข่าวสารที่บั่นทอนจิตใจ การฝึกสมาธิและจินตนาการบำบัดเพื่อให้จิตมีพลังบวกและใจได้หยุดพักจากความเครียดบ้าง
– มองโลกในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดีและการแสดงออก แสดงความคิดเห็นในทางบวกคือพลังงานที่ดีที่จะส่งให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น การมองโลกในแง่ดีจะช่วยลดฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลลง จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้นอีกทั้งยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังอีกด้วย การหัวเราะคือสิ่งที่จะทำให้ระดับความเครียดของคุณลดลงและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย
กระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วย Self-healing คุณก็ทำได้!
อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานครบหมู่และทานในปริมาณที่พอเหมาะคือหัวใจหลักของการมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์
คราวนี้คุณหมอแอนดรูว์ ไวล์ได้พูดถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารซึ่งคุณหมอจะเน้นย้ำเรื่องการทานอาหารออแกนิค (Organic) หรืออาหารปลอดสารพิษ รวมถึงพวกเครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆ อีกด้วยซึ่งการทานอาหารออแกนิกสามารถช่วยร่างกายให้ทำงานลดลงเรื่องหนึ่งนั่นก็คือการกำจัดสารพิษ คราวนี้มาดูกันว่าหัวใจหลักของการทานอาหารเพื่อประโยชน์สูงสุดในการดูแลร่างกายมีอะไรบ้าง?
เลือกทานผักออแกนิคที่สดใหม่
การเลือกซื้ออาหารออแกนิคคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะการเลือกทานผักและผลไม้สดแบบออแกนิคคือสิ่งที่คุณหมอแนะนำ ทานผักหลายหลายสีเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสีของผักแต่ละชนิดตั้งแต่สีเขียวเข้มไปจนถึงสีแดงและสีเหลือง โดย Phytochemicals หรือกลุ่มเคมีในพืชที่มีสีเข้มและมีกลิ่นเฉพาะตัวนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายและมีคุณค่าทางสารอาหารสูงมาก อีกทั้งการเลือกทานผักผลไม้ในกลุ่ม Superfood ก็เป็นสิ่งที่ดีอีกเช่นกันเพราะพืชผักที่มีสีสันเข้มอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
เลือกทานอาหารที่ช่วยลดอาการอักเสบ
การอักเสบของร่างกายคือบ่อเกิดของโรคร้ายแรงต่างๆ การเลือกทานอาหารและสมุนไพรบางประเภทที่ช่วยให้ระดับการอักเสบของร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติคือหัวใจหลัก โดยคุณหมอแอนดรูว์ได้บอกว่า การทานเห็ดที่ขึ้นในทวีปเอเชียเช่น เห็ดไมตาเกะ เห็ดหอม เห็ดนางรม และเห็ดเข็มทอง สามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันเสถียรและแข็งแรง

รวมถึงกระเทียม (Allium sativum) ซึ่งทุกครัวไทยใช้กระเทียมในการปรุงอาหารอยู่แล้วรวมถึงในยุคก่อนก็ใช้กระเทียมในการรักษาอาการป่วย โดยคุณสมบัติพิเศษของกระเทียมก็คือช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและป้องกันร่างกายจากไวรัสและแบคทีเรีย หากทานกระเทียมอยู่เป็นประจำก็สามารถป้องกันโรคหวัดได้ โดยคุณหมอแนะนำให้ทานกระเทียมสดแบบไม่ปรุงสุกเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ของกระเทียมอย่างเต็มที่
เพิ่มความเผ็ดร้อนให้มื้ออาหาร
พริกคายาน (Cayenne Pepper) คือพริกที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดอาการอักเสบโดยพริกคายานนั้นมีแคปไซซิน (Capsaicin) ที่พบตามธรรมชาติในพริก รวมถึงอุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ที่ถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุด
ลดการทานน้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทั้งน้ำตาลและแอลกอฮอล์สามารถลดประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เพิ่มโพรไบโอติกส์และไฟเบอร์ให้ร่างกาย
จากการวิจัยมีหลักฐานยืนยันว่าหากในลำไส้ไม่มีแบคทีเรียชนิดที่ดี เชื้อจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารหรือ Gut Flora ระบบภูมิคุ้มกันจะไม่สามารถทำงานได้ดีเลย การทานอาหารที่มีแบคทีเรียชนิดดีอย่างเช่น โยเกิร์ต ผักดองแบบธรรมชาติ กิมจิ มิโซะและอื่นๆ รวมถึงอาหารที่มีกากใยและไฟเบอร์สูงอย่างเช่น ไซเลียม ฮัสค์ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

คุณหมอยังเสริมอีกว่า การทานอาหารเสริมอย่างเช่น Adaptogens สารสกัดจากสมุนไพรหลากชนิด, Astragalus สมุนไพรจีน และ Echinacea ก็สามารถช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันคุณจากโรคหวัดได้
สรุป
ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายนั้นเชื่อมโยงถึงกันในทุกระบบของร่างกายทั้งอวัยวะภายใน เนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีส่วนในการปกป้องและสร้างภูมิคุ้มกันต่อร่างกาย การเลือกทานอาหารที่ช่วยลดอาการอักเสบนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภูมิคุ้มกันแล้ว ยังทำให้เซลล์และแอนติบอดี้ในระบบภูมิคุ้มกันยังช่วยทำให้ระดับการอักเสบลดลงและคงอยู่ในระดับที่ถือว่าเป็นปกติ

การทานอาหารเสริมที่มี Superfood เป็นส่วนประกอบเช่น วิตามินซี ต้นอ่อนข้าวสาลี แอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา และไซเลียมฮัสค์ ก็นับเป็นการเพิ่มสิ่งดีๆ ให้กับร่างกายเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน รวมถึงไฟเบอร์ธรรมชาติที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพของระบบขับถ่าย ระบบทางเดินอาหาร รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย เลือก MikaNutra ให้ดูแลสุขภาพของคุณและครอบครัววันนี้!
One thought on “มิติใหม่ “Self-healing” รักษาตัวเองไม่ต้องพึ่งหมอด้วย Superfood”